งานบุญข้าวสาก
ประเพณีบุญข้าวสาก
การทำบุญข้าวสากนิยมทำในวันขึ้น 15 ค่ำ
เดือน 10 เป็นประจำทุกปี ที่เรียกว่า "บุญข้าวสาก" เนื่องจากเมื่อจัดทำข้าวปลาอาหาร
และเครื่องไทยทานต่าง ๆอุทิศให้ ผู้ล่วงลับไปแล้ว จะทำสากหรือสลาก
มีคำอุทิศส่วนกุศลใส่กระดาษบันทึกชื่อ ผู้มีจิตศรัทธาบริจาค
และความประสงค์ว่าจะบริจาคทานให้แก่ผู้ใด โดยบอกชื่อผู้ที่จะ มารับส่วนกุศลด้วย
ข้าวสาก
|
พิธีทำบุญข้าวสาก
|
บุญข้าวสากหรือสลาก เป็นการทำบุญอย่างหนึ่งของประเพณีสิบสองเดือน หรือ
"ฮิตสิบสอง" (ฮีต มาจากคำว่า จารีต
ฮีตสิบสอง คือ จารีตประเพณีสิบสองเดือน) ของชาวอีสาน โดยมีจุดประสงค์สำคัญ
เพื่อมุ่งอุทิศส่วนกุศลให้ญาติสนิท เช่น ปู่ ย่า ตา ยาย บิดา มารดา สามี ภรรยา พี่น้องที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว
และอาจอุทิศให้ เปรตทั่วไปด้วย
ก่อนถึงกำหนดวันทำบุญข้าวสาก
คือ ราววันขึ้น 13 - 14 ค่ำ เดือนสิบ ชาวบ้าน
จะเตรียมอาหารชนิดต่าง ๆ มีทั้งข้าว เนื้อ ปลา
ข้าวเม่า ข้าวพอง ข้าวตอก ขนม และอาหารคาวหวานอื่น ตลอดจนผลไม้ต่าง ๆ
ไว้สำหรับทำบุญ สำหรับข้าวเม่า ข้าพอง และข้าวตอกนั้น
จะคลุกเข้ากันโดยใส่น้ำอ้อย น้ำตาล ถั่วงา มะพร้าว ให้เป็นข้าวสาก (ข้าวกระยาสารท)
แต่บางท้องถิ่นไม่นำข้าเม่า ข้าพอง และข้าวตอก มาคลุกเข้าด้วยกัน
คงแยกไปทำบุญเป็นอย่าง ๆ เมื่อเตรียมสิ่งของทำบุญเรียบร้อย
แล้ว ชาวบ้านจะเอาข้าวปลาอาหารที่มีอยู่ไปส่งญาติพี่น้องและผู้รักใครีนับถือ
อาจส่งก่อนวันทำบุญหรือส่งในวันทำบุญเลยก็ได้ สิ่งของเหล่านี้มักแลกเปลี่ยนกัน
ไปมา ระหว่างญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เรือนเคียง ถือว่าเป็นการได้บุญ
มื่อถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิบ ตอนเช้า ชาวบ้าน
จะพากันนำอาหารคาวหวานต่าง ๆ ไปทำบุญตักบาตร ที่วัด
โดยพร้อมเพรียงกัน และถวายทานอุทิศส่วนกุศล ให้ญาติมิตรผู้ล่วงลับไปแล้ว
ตอนสาย ชาวบ้านจะนำข้าวปลาอาหารที่เตรียมไว้ เป็นข้าวสาก
ไปวัดอีกครั้งหนึ่ง เอาอาหารต่าง ๆ จัดเป็น
สำหรับหรือชุดสำหรับถวายทาน หรือถวายเป็นสลากภัต โดยจัดใส่ภาชนะต่าง ๆ
แล้วแต่ความนิยม ของแต่ละท้องถิ่น
บางแห่งจัดใส่ถ้วยหรือบางแห่งใช้ทำ เป็นห่อทำเป็นกระทงด้วยใบตองกล้วย หรือกระดาษ
แต่ละบ้านจะจัดทำสักกี่ชุดก็ได้ตามศรัทธา ก่อนที่จะถวาย ข้าวสากแด่พระภิกษุสามเณร
จะกล่าวคำถวายข้าวสาก หรือสลากภัตพร้อมกัน
เมื่อเสร็จพิธีถวายข้าวสากแล้ว ช้าวบ้านที่ไปร่วมพิธี
ยังนิยมเอาชะลอมหรือห่อข้าวสากไปวางไว้ตามที่ต่าง ๆ ในบริเวณวัด
พร้อมจุดเทียนและบอกกล่าวให้ญาติ หรือเปรตผู้ล่วงลับไปแล้วมารับเอาอาหารต่าง ๆ
ที่วางไว้ และขอให้มารับส่วนกุศลที่ทำบุญอุทิศไปให้ด้วย (ผู้จัดทำ
ก็เคยทำสมัยเป็นเด็กกับมารดา)
ภายหลังจากการถวายข้าวสากแด่พระภิกษุสามเณร
และนำอาหารไปวางไว้ตามบริเวณวัดเสร็จแล้ว ก็มีการฟังเทศน์ฉลองข้าวสาก
และกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล ไปให้เปรตและญาติผู้ล่วงลับไปแล้วด้วย นอกจากนี้
ผู้ที่มีนา จะนำข้าวสากไปเลี้ยง "ตาแฮก" ที่นาของตน
เพื่อให้ตาแฮกรักษานาและให้ข้าวกล้าอุดมสมบูรณ์ เป็นเสร็จพิธีทำบุญข้าวสาก
เล่ากล่าวตามกาลสมัยก่อน ถึงอีกด้านแห่งความเชื่อว่า...
ในวันเพ็ญเดือนสิบของทุกปี เป็นวันที่ยมบาล อนุญาตให้ผู้ที่ตายแล้ว
และยังวนเวียนอยู่ในโลกโอปปาติกะที่ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิด
ได้มีโอกาสออกมารับส่วนบุญ และข้าวปลาอาหาร ที่ลูกหลานเตรียมมาทำบุญให้ในวันบุญข้าวสากนี้
"วิญญาณ" ที่ลูกหลานไม่ได้ทำบุญมาให้กินในว้ันบุญข้าวสาก ก็ต้องไปรอรับส่วนบุญ และอาหารจากญาติของคนอื่นที่ทำบุญเผื่อแผ่แก่วิญญาณนั้น (วิญญาณที่ลูกหลานไม่ได้ทำบุญไปให้ เรียกว่า "วิญญาณเร่ร่อน") วิญญาณเร่ร่อนนั้นมีความยากลำบากในการรับส่วนบุญส่วนอาหาร เนื่องจากต้องแย่งกันกับวิญญาณเร่ร่อนอีกหลายๆ ตนด้วยกัน หากวิญญาณเร่ร่อนนั้นแย่งไม่ได้ หมายถึงไม่ได้บุญไม่ได้กินอาหาร หรือกินไม่อิ่ม ก็จะสาปแช่งลูกหลาน ที่ไม่ได้ทำบุญไปให้ ลูกหลานก็จะพานพบกับความอัปมงคล และหาความสุขเสียมิได้
กิจกรรมในวันทำพิธี "บุญข้าวสาก"
ลูกหลานเตรียมสำรับ คือ "ห่อข้าวสาก" เพื่อเข้า่ร่วมทำบุญพิธีที่วัด และพระสงฆ์เท่านั้นที่จะทำหน้าที่ในพิธีส่งห่อข้าวสากนี้ไปให้แก่ญาติผู้ล่วงลับไดั และหลายคนมีจิตกุศลต่อวิญญาณเร่ร่อน ก็จะทำห่อข้าวสากขนาดเล็กเผื่อติดไปทำบุญให้แก่วิญญาณเร่ร่อนด้วย เล่าต่อกันมาว่า... วิญญาณเร่ร่อนเหล่านั้นจะรอรับส่วนบุญ และอาหารอยู่ตามร่มไม้ชายคาอาคารทั่วไป เวลาให้บุญให้อาหารควรเจาะจงสถานที่ให้ชัดเจน และเมื่อเสร็จพิธีทำบุญข้าวสากแล้ว ชาวบ้านก็จะแบ่งข้าวสากบางส่วน เพื่อไปทำบุญถวายให้กับ "แฮกนา" ในบริเวณผืนนาของตน เพื่อเป็นการขอบคุณ "แฮกนา" ที่ทำให้มีอู่ข้าวอู่น้ำในการทำมาหาเลี้ยงชีพ และปกปักรักษาไร่นา ผืนนานี้ ให้มีความอุดมสมบูรณ์ต่อไป
ห่อข้าวสาก
จากที่สังเกตในห่อข้าวสาก พบว่า...ทุกห่อจะมีสิ่งละอันพันละน้อยที่เหมือนกัน ได้แก่ ข้าวเหนียวนึ่งสุก, ธูป 1 ดอก บ้างก็ธูป 3 ดอก, ผลไม้, อาหารประเภทปิ้งย่าง, ข้าวต้มมัด, ดอกไม้หนึ่งคู่ และนอกเหนือจากที่กล่าวมานี้ ก็จะเป็นอาหารที่มีความแตกต่างกันออกไป คือ อาหารที่ผู้ล่วงลับไปแล้วชอบรับประทานเป็นพิเศษเมื่อครั้งสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ ความหมายคือ อาหารที่ผู้ล่วงลับไปแล้วชอบรับประทานนั่นเอง
หมายเหตุ : "แฮกนา" เป็นเจ้าที่เจ้าทางประจำผืนนา จัดอยู่ในชั้นเทวดา หากใครคิดไม่ดีต่อผืนนานั้น ก็จะได้รับการลงโทษจาก "แฮกนา" ตามลำดับของโทษหนักและเบาต่างกัน
"วิญญาณ" ที่ลูกหลานไม่ได้ทำบุญมาให้กินในว้ันบุญข้าวสาก ก็ต้องไปรอรับส่วนบุญ และอาหารจากญาติของคนอื่นที่ทำบุญเผื่อแผ่แก่วิญญาณนั้น (วิญญาณที่ลูกหลานไม่ได้ทำบุญไปให้ เรียกว่า "วิญญาณเร่ร่อน") วิญญาณเร่ร่อนนั้นมีความยากลำบากในการรับส่วนบุญส่วนอาหาร เนื่องจากต้องแย่งกันกับวิญญาณเร่ร่อนอีกหลายๆ ตนด้วยกัน หากวิญญาณเร่ร่อนนั้นแย่งไม่ได้ หมายถึงไม่ได้บุญไม่ได้กินอาหาร หรือกินไม่อิ่ม ก็จะสาปแช่งลูกหลาน ที่ไม่ได้ทำบุญไปให้ ลูกหลานก็จะพานพบกับความอัปมงคล และหาความสุขเสียมิได้
กิจกรรมในวันทำพิธี "บุญข้าวสาก"
ลูกหลานเตรียมสำรับ คือ "ห่อข้าวสาก" เพื่อเข้า่ร่วมทำบุญพิธีที่วัด และพระสงฆ์เท่านั้นที่จะทำหน้าที่ในพิธีส่งห่อข้าวสากนี้ไปให้แก่ญาติผู้ล่วงลับไดั และหลายคนมีจิตกุศลต่อวิญญาณเร่ร่อน ก็จะทำห่อข้าวสากขนาดเล็กเผื่อติดไปทำบุญให้แก่วิญญาณเร่ร่อนด้วย เล่าต่อกันมาว่า... วิญญาณเร่ร่อนเหล่านั้นจะรอรับส่วนบุญ และอาหารอยู่ตามร่มไม้ชายคาอาคารทั่วไป เวลาให้บุญให้อาหารควรเจาะจงสถานที่ให้ชัดเจน และเมื่อเสร็จพิธีทำบุญข้าวสากแล้ว ชาวบ้านก็จะแบ่งข้าวสากบางส่วน เพื่อไปทำบุญถวายให้กับ "แฮกนา" ในบริเวณผืนนาของตน เพื่อเป็นการขอบคุณ "แฮกนา" ที่ทำให้มีอู่ข้าวอู่น้ำในการทำมาหาเลี้ยงชีพ และปกปักรักษาไร่นา ผืนนานี้ ให้มีความอุดมสมบูรณ์ต่อไป
ห่อข้าวสาก
จากที่สังเกตในห่อข้าวสาก พบว่า...ทุกห่อจะมีสิ่งละอันพันละน้อยที่เหมือนกัน ได้แก่ ข้าวเหนียวนึ่งสุก, ธูป 1 ดอก บ้างก็ธูป 3 ดอก, ผลไม้, อาหารประเภทปิ้งย่าง, ข้าวต้มมัด, ดอกไม้หนึ่งคู่ และนอกเหนือจากที่กล่าวมานี้ ก็จะเป็นอาหารที่มีความแตกต่างกันออกไป คือ อาหารที่ผู้ล่วงลับไปแล้วชอบรับประทานเป็นพิเศษเมื่อครั้งสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ ความหมายคือ อาหารที่ผู้ล่วงลับไปแล้วชอบรับประทานนั่นเอง
หมายเหตุ : "แฮกนา" เป็นเจ้าที่เจ้าทางประจำผืนนา จัดอยู่ในชั้นเทวดา หากใครคิดไม่ดีต่อผืนนานั้น ก็จะได้รับการลงโทษจาก "แฮกนา" ตามลำดับของโทษหนักและเบาต่างกัน